“น้องโมเน่” เด็กหญิงวัยเพิ่งจะ 2 ขวบ ที่ร้องไห้อยากมีบ้าน 5 หลัง กลายเป็นไวรัลสนั่นโซเชียลในเวลาไม่กี่วัน คลิปสั้น ๆ ที่เธอพูดเสียงสั่น “อยากได้บ้าน” ทำให้ใครต่อใครหัวเราะ เอ็นดู และแชร์ต่อจนติดเทรนด์

แต่ถ้ามองให้ลึกกว่าความน่ารัก “โมเน่” ได้กลายเป็นภาพจำลองของ “เศรษฐกิจยุคใหม่” ของสังคมไทย เศรษฐกิจที่แค่ มีกล้องมือถือหนึ่งเครื่องก็สามารถเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นบริษัทและเปลี่ยนแม่ลูกให้กลายเป็น “แบรนด์” ได้จริง

ย้อนไป บ้านนี้เริ่มจากแบรนด์อาหารเสริม “Primaya” ที่เคยมีทั้งชื่อเสียงและข้อพิพาทในธุรกิจคลินิกความงามแต่สิ่งที่ต่อยอดให้สินค้าขายดีต่อเนื่อง และกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คือการ “เล่าเรื่องผ่านลูก”

“โมเน่” เด็กหญิงปั๊ดจะระมน จั้นเจิ้น (พชรมน สรรเสริญ) แฝดผู้พี่ของ “โซล” ในฐานะ “เสาหลักวัย 2 ขวบ” ที่พูดชัดบ้างไม่ชัดบ้าง กลับกลายเป็นตัวแทนของ ความจริงใจแบบที่แบรนด์ไหนก็ซื้อไม่ได้

ที่ผู้บริโภคมองเห็นแล้วอยากมีส่วนร่วมด้วย

“Cute Marketing” เมื่อความน่ารักขายได้มากกว่าโฆษณา

กลยุทธ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่หาก คือ เทรนด์ทางการตลาดที่เรียกว่า Cute Marketingหรือ “การตลาดด้วยความน่ารัก” ที่ใช้ ความอบอุ่น สดใส และไร้เดียงสา ดึงดูดอารมณ์ผู้บริโภค อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ Krungsri The Coach (“Cute Marketing กลยุทธ์ความน่ารักมัดใจลูกค้า”)

กลยุทธ์นี้ได้ผลเพราะมัน กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก (Emotional Trigger) มากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจผู้บริโภคมัก “ยอมจ่าย” เพื่อเติมเต็มอารมณ์บางอย่างในใจ มากกว่าซื้อเพราะจำเป็น โมเน่จึงกลายเป็นกรณีศึกษาสมบูรณ์ของ Cute Marketing ที่ไม่ได้พูดขายของ แต่พูดด้วยความน่ารักที่ “ขายได้โดยไม่ต้องขาย”

โมเดลธุรกิจบ้านพรีมายา เมื่อแม่เป็นแบรนด์“โมเน่”คือมาร์เก็ตติ้ง สร้างรายได้จาก“ความน่ารัก”

“พี่ ๆ ตามใจหนูไหม?”

“1 เดอร์ 5 เดอร์ 8 เดอร์”

“ทำงานเหนื่อยมาก”

คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สคริปต์ แต่เป็นไวรัลที่ขับเคลื่อนยอดขายจริงเพราะผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้ซื้อของจาก “สินค้า” แต่ซื้อจาก “ความผูกพัน” ที่มีต่อคนขาย

Insight ผู้บริโภคยุคโซเชียล

ในยุคที่ผู้บริโภคดูออกว่าอะไรคือการ “ขายตรง”แบรนด์ที่ใช้ ความสัมพันธ์จริง จะสร้างอิทธิพลทางอารมณ์ได้มากกว่าแคมเปญการตลาดใด ๆ บางคนไม่มีลูก แต่กดซื้ออาหารเสริมเด็กเพราะ “อยากสนับสนุนโมเน่” บางคนไม่ใช้สินค้านั้น แต่แชร์ต่อเพราะ “เอ็นดู”

นี่คือพลังของ ความสัมพันธ์ที่กลายเป็นแรงซื้อ (Relational Commerce)และคือเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ยุคใหม่เริ่มหันมาใช้ “คนจริง” แทน “โฆษณาจริงจัง”

โมเดลธุรกิจบ้านพรีมายา เมื่อแม่เป็นแบรนด์“โมเน่”คือมาร์เก็ตติ้ง สร้างรายได้จาก“ความน่ารัก”

กล้อง = เครื่องปั้นเศรษฐีรุ่นใหม่

นอกจากนี้ “บ้านพรีมายา” ยังเป็นภาพสะท้อนของ Creator Economy  เศรษฐกิจที่คนธรรมดาใช้คอนเทนต์สร้างรายได้ กล้องมือถือที่เคยเป็นเครื่องมือสื่อสาร กลายเป็น “เครื่องผลิตเงิน”ไม่ต้องมีทุน ไม่ต้องมีสตูดิโอ แต่กลับมี 3 สิ่งนี้แทน …

ความเข้าใจคนดู + ความสม่ำเสมอ + ความจริงใจ

จะเห็นได้ว่า ธุรกิจเล็ก ๆ มากมายในไทยเริ่มมาจาก TikTok หรือ Facebook Liveเพราะคนยุคนี้ “ไม่รอแบรนด์มาหา” แต่ “หาแบรนด์ผ่านคนที่ไว้ใจ” กล้องจึงไม่ใช่แค่เครื่องบันทึกภาพ  แต่มันคือ เครื่องบันทึกโอกาสทางเศรษฐกิจ ของคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม โมเดล “บ้านพรีมายา” อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกครอบครัว แต่เป็น สัญญาณของโลกที่กำลังเปลี่ยน  จาก “โฆษณา” เป็น “เรื่องเล่า” จาก “คนธรรมดา” เป็น “เครื่องผลิตรายได้ในบ้าน” เพราะในโลกยุคนี้ ความน่ารักสร้างยอดขายได้ ความจริงใจสร้างแบรนด์ได้ และ “กล้อง” สร้างเศรษฐีได้เช่นกัน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here