ภาพประกอบข่าว:
เครดิตภาพ: MGROnline

“เสธ.ต๊อด” พล.ท. ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้แถลงถึงกรณีการปล่อยตัวทหารชาวกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกควบคุมตัวไว้ก่อนหน้านี้ โดยยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างหนักและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งถือเป็นข้อตกลงสำคัญในการลดความตึงเครียดและสร้างความไว้วางใจระหว่าง กองทัพไทยและกัมพูชา การปล่อยตัวเชลยศึกครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากการพูดคุยในระดับคณะทำงานทั้งสองฝ่าย ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคำสั่งของศาลโลก ที่ให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร นับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติ และเป็นผลมาจากความคืบหน้าของการเจรจาที่เน้นการรักษาสันติภาพในภูมิภาค

ประเด็นสำคัญจาก: “เสธ.ต๊อด” แจงปล่อย 18 เชลยกัมพูชา ใต้เงื่อนไขถอนอาวุธหนักจบเฟส 1 – ไม่ขวางกู้ทุ่นระเบิด คาด 12-13 พ.ย.

พล.ท. ธวัชชัย สมุทรสาคร ได้เน้นย้ำว่าการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกจับกุมในเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคม ในระหว่างการปะทะบริเวณแนวชายแดน ได้ถูกดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจน นั่นคือการที่กัมพูชาต้องดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่พิพาทให้แล้วเสร็จในระยะที่ 1 ตามข้อตกลงที่ได้เจรจากันมาก่อนหน้านี้ การถอนอาวุธหนักเป็นหัวใจสำคัญของการลดความขัดแย้งและสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน เพื่อให้สามารถหาทางออกร่วมกันในประเด็นอื่นๆ ที่ยังคงเป็นข้อพิพาทต่อไปได้ ข้อตกลงนี้นับเป็นผลลัพธ์จากการหารืออย่างต่อเนื่องระหว่างคณะทำงานของ กองทัพไทยและกัมพูชา ซึ่งต่างฝ่ายต่างต้องการเห็นสันติภาพและความมั่นคงกลับคืนสู่ชายแดน

นอกจากนี้ พล.ท. ธวัชชัย ยังได้กล่าวถึงแนวทางการทำงานในอนาคตเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน โดยระบุว่ากองทัพไทยจะยังคงปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและคำสั่งของศาลโลกอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดำเนินการตามกรอบของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ในการหารือกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหาสู่สันติภาพอย่างยั่งยืน การดำเนินการเหล่านี้เป็นมาตรการที่จะช่วยให้สถานการณ์ชายแดนคลี่คลายลง และลดโอกาสการปะทะกันในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกถึงความตั้งใจของทั้งสองประเทศในการร่วมมือกันเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

ในประเด็นของการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิดที่ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในพื้นที่ชายแดน “เสธ.ต๊อด” ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าในการกู้ทุ่นระเบิด โดยระบุว่าฝ่ายไทยไม่มีข้อขัดข้องในการที่กัมพูชาจะเข้ามากู้ทุ่นระเบิด โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงวันที่ 12-13 พฤศจิกายนนี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาที่กัมพูชาทำการกู้ทุ่นระเบิด ทางฝ่ายกัมพูชาจะต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนเกี่ยวกับตำแหน่งและชนิดของทุ่นระเบิดที่วางไว้ เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายในการปฏิบัติงาน การกู้ทุ่นระเบิดเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการทำให้พื้นที่ชายแดนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและสามารถพัฒนาพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ การประสานงานและการแบ่งปันข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในขณะนี้

พล.ท. ธวัชชัย ยังได้ยืนยันถึงสถานการณ์ชายแดนในปัจจุบันว่า ขณะนี้สถานการณ์ในภาพรวมมีความสงบเรียบร้อยดี หลังจากที่มีการดำเนินการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่เคยเป็นเขตสู้รบใกล้ปราสาทพระวิหาร โดยมีการดำเนินการถอนกำลังพลในอัตราส่วน 100/100 ตามข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทั้งสองประเทศในการลดความขัดแย้ง และเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเป็นการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเดินหน้าเจรจาในประเด็นอื่นๆ ที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนร่วมกัน กระบวนการเหล่านี้ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่นจากทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาชายแดนได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม

สรุปข่าวทั้งหมด

การแถลงของ “เสธ.ต๊อด” พล.ท. ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เกี่ยวกับการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย ภายใต้เงื่อนไขการถอนอาวุธหนักจากพื้นที่ชายแดน ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียดและสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชา การดำเนินการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการปฏิบัติตามมติศาลโลกและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อรักษาสันติภาพและการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี นอกจากนี้ การที่ฝ่ายไทยไม่ขัดข้องในการกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และสถานการณ์ชายแดนที่กลับมาสงบนั้น เป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการสร้างความไว้วางใจ และการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาในประเด็นอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานและการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของคณะทำงานทั้งสองฝ่ายในอนาคต

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here