ภาพประกอบข่าว:
เครดิตภาพ: MGROnline

นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งและหลั่งน้ำตาออกมา ระหว่างการเสวนาในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทย หลังนายกฯ คนที่ 30” ซึ่งจัดขึ้นโดยสภาที่ 3 คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และมหาวิทยาลัยรังสิต โดยเธอได้กล่าวถึงกรณีที่ถูกวุฒิสภาลงมติให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยคะแนน 194 ต่อ 18 เสียง ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรมและมีเบื้องหลังทางการเมือง ขณะเดียวกัน นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ก็ได้ออกมาจุดประเด็นเกี่ยวกับความพยายามในการล้มคดีทุจริตต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำความหวั่นเกรงต่อสถานะของกระบวนการยุติธรรมในประเทศ

ประเด็นสำคัญจาก: “นันทนา” หลั่งน้ำตาวุฒิฯฟันเรียก “สว.ขายหมู” สะท้อนสว.มีเจ้าของ ลั่นสู้สีน้ำเงินถึงที่สุด “ทนายอั๋น” ปูดจ่อล้มคดีฮั้ว

ประเด็นหลักที่เกิดขึ้นในการเสวนาครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ทางการเมืองและความยุติธรรมของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของนางสาวนันทนา นันทวโรภาส ที่ถูกวุฒิสภาโหวตให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ในส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการคัดเลือกจากศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดก่อนนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ซึ่งในกรณีนี้คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ได้ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่แล้วสภาวุฒิสภากลับมีมติให้ถอดถอนในชั้นพิจารณาของวุฒิสภาอย่างน่าเป็นข้อกังขา นางสาวนันทนาได้ยืนยันว่าไม่มีคุณสมบัติที่ขัดต่อกฎหมายและไม่เคยถูกแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งการตัดสินใจของวุฒิสภาในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเป็นอิสระของสว.และอาจกำลังสะท้อนว่ามีผู้หนุนหลัง หรือ “เจ้าของ” ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังกระบวนการทางการเมืองที่สำคัญ

การถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นบุคคลที่คัดเลือกมาจากผู้ทรงคุณวุฒิของทุกฝ่าย นับเป็นเรื่องสำคัญและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นในองค์กรอิสระ และเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความโปร่งใสและเป็นกลางของกระบวนการสรรหาและตรวจสอบบุคคลในตำแหน่งสำคัญของรัฐ ภายใต้การควบคุมของสภาฯ ที่อาจเป็นเพียงหุ่นเชิดทางการเมือง การกล่าวอ้างว่า “สว.ขายหมู” ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มองว่า สว.บางส่วนอาจถูกชักใยจากอำนาจภายนอก ซึ่งสิ่งนี้เป็นอันตรายต่อหลักการประชาธิปไตยและการตรวจสอบถ่วงดุลของอำนาจรัฐ

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

นางสาวนันทนาได้แสดงความเสียใจและเจ็บปวดอย่างมากต่อการถูกโจมตีทางการเมือง รวมถึงการที่ถูกกล่าวหาว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เธอระบุว่าการถูกถอดถอนครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัญหาเรื่องคุณสมบัติหรือจริยธรรม แต่เป็นผลมาจากการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงและพยายามควบคุมองค์กรอิสระ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังทำลายขวัญและกำลังใจของผู้ที่ต้องการเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างบริสุทธิ์ใจ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังได้กล่าวถึงการต่อสู้กับ “สีน้ำเงิน” โดยระบุว่าเธอจะต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมนี้จนถึงที่สุด ซึ่ง “สีน้ำเงิน” ในบริบทนี้สามารถตีความได้ถึงกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเมืองที่ใช้เส้นสายและอำนาจในการบงการกลไกรัฐ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับบางฝ่ายหรือคณะรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตถึงความโปร่งใสในกระบวนการทำงานของสภาวุฒิสภา และความชอบธรรมในการใช้อำนาจของสว.ในการแต่งตั้งและถอดถอนบุคคลในองค์กรสำคัญของรัฐ

ในอีกด้านหนึ่ง นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่ากำลังจะมีการล้มคดีทุจริตจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการพิจารณา กระแสข่าวนี้ยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับสถานการณ์ทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะหากมีการล้มคดีทุจริตจริง จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. และศาล ยิ่งไปกว่านั้นยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อหลักธรรมาภิบาลและการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ อาจถูกมองว่าเป็นความพยายามของบางกลุ่มอำนาจที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และยังคงยืนกรานที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจะทำให้ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของประเทศอ่อนแอลง และปูทางไปสู่การทุจริตคอร์รัปชันที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต

สรุปข่าวทั้งหมด

การเสวนา “อนาคตประเทศไทย หลังนายกฯ คนที่ 30” ได้เผยให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการเมืองและปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมที่กำลังเป็นที่จับตา โดยเฉพาะกรณีของนางสาวนันทนา นันทวโรภาส ที่ถูกวุฒิสภาถอดถอนจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน ป.ป.ช. ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เป็นธรรมและมีเบื้องหลังทางการเมือง ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นอิสระของวุฒิสภาและการแทรกแซงทางการเมืองในองค์กรอิสระ ขณะเดียวกันคำกล่าวอ้างของทนายอั๋น บุรีรัมย์ ที่ว่ากำลังจะมีการล้มคดีทุจริตจำนวนมาก ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงวิกฤตความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ทั้งสองประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกลุ่มอำนาจในการควบคุมกลไกของรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในอนาคต ทำให้ประชาชนและนักวิชาการต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมไทยจะดำเนินไปในทิศทางใด

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here