ลุยสอบ นายทุนรุกป่าแก่งกระจานกว่า 900 ไร่ สั่งพิสูจน์ น.ส. 3 ก. ย้อนหลัง

ลุยสอบ กรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีนายทุนเข้าไปครอบครองที่ดินกว่า 900 ไร่ โดยมีการออกเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก. โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การดำเนินการนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้รับเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก. ย้อนหลัง เพื่อหาต้นตอของการออกเอกสารอย่างไม่ถูกต้อง และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการบุกรุก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการทุจริตและหยุดยั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

ประเด็นสำคัญจาก: ลุยสอบ นายทุนรุกป่าแก่งกระจานกว่า 900 ไร่ สั่งพิสูจน์ น.ส. 3 ก. ย้อนหลัง

ประเด็นสำคัญจากการสอบสวนกรณีการบุกรุกป่าแก่งกระจานนี้เริ่มต้นจากการที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและทำการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตอำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน คิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 900 ไร่ มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ โรงแรม รีสอร์ท และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยมีนายทุนเป็นผู้ครอบครองและดำเนินการ การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีการอ้างสิทธิ์ในที่ดินโดยใช้เอกสาร น.ส. 3 ก. ซึ่งออกให้โดยมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักการของราชการ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าไม้สำคัญที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร

การบุกรุกในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้และระบบนิเวศโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในวงราชการ รวมถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบในการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์แก่นายทุน ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว คณะกรรมาธิการฯ จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก เช่น กรมที่ดิน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดของเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก. ที่ถูกออกไปในอดีต ว่ามีขั้นตอนการออกที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ มีการปลอมแปลงเอกสาร หรือมีการใช้อิทธิพลในการออกเอกสารหรือไม่ อย่างไร เพื่อนำไปสู่การเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งข้าราชการและนายทุนอย่างเด็ดขาด

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

การดำเนินการต่อยอดจากประเด็นการรุกป่าแก่งกระจานเน้นไปที่การตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ น.ส. 3 ก. ย้อนหลัง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหา ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าบกและป่าต้นน้ำ ซึ่งไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ประเภท น.ส. 3 ก. ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้ามและได้รับการคุ้มครอง คณะกรรมาธิการฯ ได้ตรวจสอบพบว่า มีการนำเอกสาร น.ส. 3 ก. ที่ออกโดยมิชอบไปใช้ในการครอบครองและพัฒนาที่ดินเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น การสร้างรีสอร์ท หรือการทำเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ การตรวจสอบย้อนหลังนี้จะครอบคลุมถึงกระบวนการออกเอกสาร การตรวจสอบลายเซ็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และการยืนยันสถานะที่ดินในขณะที่มีการออกเอกสาร เพื่อพิสูจน์ว่าเอกสารเหล่านั้นมีความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับหน่วยงานด้านกฎหมายเพื่อเตรียมดำเนินคดีกับนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ การลงพื้นที่ยังพบว่ามีการนำรถแบ็คโฮขนาดใหญ่เข้าไปปรับสภาพพื้นที่ ถมดิน และตัดโค่นต้นไม้จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างร้ายแรง การดำเนินการทางกฎหมายจะครอบคลุมทั้งการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง การเรียกคืนพื้นที่ป่า การปรับและการดำเนินคดีอาญาตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษอย่างสาสมและเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

สรุปข่าวทั้งหมด

สรุปได้ว่า กรณีการบุกรุกป่าแก่งกระจานกว่า 900 ไร่ โดยนายทุนที่อ้างสิทธิ์ด้วยเอกสาร น.ส. 3 ก. โดยมิชอบนั้น ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังจากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ย้อนหลัง เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องและหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ การดำเนินการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามการทุจริตและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเด็ดขาด มีการประเมินว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบุกรุกไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบนิเวศ แต่ยังเป็นผลมาจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ การดำเนินการทางกฎหมายและการกู้คืนพื้นที่ป่าจะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ และสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม.