ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล ได้ถูกกล่าวหาว่า สั่งการเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตลอดจนผู้ใกล้ชิดของพรรค ให้ร่วมกันสร้างกระแสข่าวโจมตีและดิสเครดิต ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งพรรคพลังประชารัฐ โดยใช้จังหวะที่ ร.อ. ธรรมนัส กำลังเผชิญกับประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลไกการทำงานข่าวสารในการเมืองไทย ที่กลุ่มการเมืองต่างๆ พยายามใช้สื่อและเครือข่ายส.ส. เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในสถานการณ์ที่คู่แข่งกำลังถูกจับจ้องจากสาธารณะ การกล่าวหาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการจับตามองของประชาชนและมีการตั้งคำถามถึงจริยธรรมทางการเมือง และการใช้กลไกของพรรคการเมืองในการโจมตีคู่แข่งทางการเมือง
ประเด็นสำคัญจาก: “ไอซ์” เจอแฉ! สั่งเพื่อน สส.ส้มปั่นข่าวถล่ม “ธรรมนัส” อ้าง ควรใช้จังหวะนี้เล่นข่าวทิ่มไปที่เดียวกัน
ประเด็นร้อนทางการเมืองที่ถูกนำมาเปิดเผยครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงการวางแผนและกลยุทธ์ในการทำสงครามข่าวสารระหว่างพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาว่าชี้นำเพื่อน สส. ให้ “ปั่นข่าว” โจมตี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ วัตถุประสงค์ของการกระทำดังกล่าวคือการฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ ร.อ. ธรรมนัส กำลังเผชิญหน้ากับประเด็นทางการเมืองบางอย่าง ซึ่งกลุ่มผู้กล่าวหาพยายามใช้เป็นเครื่องมือในการลดความน่าเชื่อถือและบั่นทอนคะแนนนิยมของคู่แข่งทางการเมือง การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการใช้กลไกการสื่อสารที่ซับซ้อน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในคราวเดียวกัน
การกล่าวอ้างดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการใช้วิกฤตโอกาสของฝ่ายตรงข้ามในการช่วงชิงพื้นที่สื่อและกระแสสังคม โดยเน้นย้ำถึงการสร้างสรรค์เนื้อหาข่าวที่มุ่งโจมตีจุดอ่อน หรือประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้าม และกระจายข่าวสารเหล่านั้นผ่านเครือข่ายของ สส. และผู้สนับสนุนพรรค การเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการใช้อำนาจและอิทธิพลทางการเมืองในทางที่อาจไม่เหมาะสม รวมถึงจริยธรรมในการแข่งขันทางการเมือง ที่มุ่งเน้นการโจมตีบุคคลมากกว่าการนำเสนอแนวทางนโยบายเพื่อประโยชน์ของประชาชน. กรณีนี้จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นของการแข่งขันในสนามการเมือง ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การหาเสียงเลือกตั้ง แต่ยังรวมถึงการช่วงชิงความได้เปรียบผ่านการควบคุมกระแสข้อมูลและการสื่อสารในสังคม เพื่อเป้าหมายในการรักษาหรือเพิ่มพูนอำนาจทางการเมืองให้แก่พรรคของตนเอง
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
คำสั่ง “ปั่นข่าว” ดังกล่าวเกิดขึ้นในวงปิด และมีการกำชับให้ สส. พรรคก้าวไกล รวมถึงผู้ใกล้ชิด ให้รุมทิ่มไปที่ ร.อ. ธรรมนัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับความไม่โปร่งใส หรือเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ที่อาจเชื่อมโยงกับ ร.อ. ธรรมนัส และพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ การกระทำเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการใช้ยุทธวิธี “หมาหมู่” เพื่อสร้างกระแสกดดันอย่างหนัก และพยายามทำให้ภาพลักษณ์ของคู่แข่งเสียหายมากที่สุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ ร.อ. ธรรมนัส และพรรคพลังประชารัฐในระยะยาว การเปิดเผยข้อมูลนี้จึงส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงความเหมาะสมของการใช้กลยุทธ์ทางการเมืองในลักษณะดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้เครือข่าย สส. และสื่อในมือเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือสร้างข่าวลือ อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตยโดยรวม กรณีนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การโจมตีบุคคลทางการเมือง แต่ยังสะท้อนถึงการแข่งขันที่ไร้พรมแดนในโลกการเมืองยุคใหม่ ที่มีการใช้ข้อมูลและข่าวสารเป็นอาวุธในการช่วงชิงความได้เปรียบ การถูกแฉในครั้งนี้อาจนำไปสู่การตรวจสอบหรือการสอบสวนเพิ่มเติมถึงข้อเท็จจริงของการกล่าวหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นมายืนยันคำกล่าวอ้างดังกล่าว ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของตัว สส. “ไอซ์” เอง และพรรคก้าวไกลที่ต้องเผชิญกับคำถามทางจริยธรรมทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สรุปข่าวทั้งหมด
เหตุการณ์การกล่าวหา สส. “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก ว่าสั่งการเพื่อน สส. ในพรรคก้าวไกลให้ “ปั่นข่าว” โจมตี ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และพรรคพลังประชารัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและบางครั้งก็ไร้ซึ่งจริยธรรมของกลยุทธ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ที่กลุ่มพรรคคู่แข่งมักใช้สถานการณ์วิกฤตของฝ่ายตรงข้ามในการลดทอนความน่าเชื่อถือ การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้กลไกการสื่อสารและเครือข่าย สส. เพื่อสร้างกระแสข่าวสารที่มุ่งเป้าโจมตี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบุคคลและพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวถึงในระยะยาว หากการกล่าวหาดังกล่าวเป็นจริง ย่อมก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมทางการเมือง และการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อประโยชน์ในการโจมตีคู่แข่งทางการเมือง มากกว่าการมุ่งเน้นการนำเสนอนโยบายและผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวม การติดตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นนี้จึงมีความสำคัญต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบการเมืองไทย









