อนุทิน – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศยุติการสนับสนุนปฏิญญาสันติภาพที่มีข้อกำหนด 4 ข้อ โดยไม่สนใจคำวิจารณ์จากประเทศกัมพูชาและการแนะนำจากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าไม่จำเป็นต้องรายงานเหตุการณ์นี้ให้ทราบ ข่าวดังกล่าวมีการเผยแพร่ที่กรุงพนมเปญ แสดงถึงความไม่พอใจในการจัดการที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทย ความเครียดทางการเมืองที่เกิดจากการฉีกปฏิญญาในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน.
ประเด็นสำคัญจาก: “อนุทิน” ลั่นสันติภาพจบแล้ว ฉีกปฏิญญา 4 ข้อ ไม่สนกัมพูชา เมิน “ทรัมป์” บอกไม่ต้องรายงาน
การตัดสินใจฉีกปฏิญญาสันติภาพ 4 ข้อของนายอนุทินนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เคร่งเครียดในปัจจุบันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการลงนามระหว่างประเทศสมาชิกโดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือในภูมิภาค จุดเริ่มต้นของการฉีกปฏิญญาครั้งนี้เกิดจากการไม่ลงรอยกันในกระบวนการดำเนินงานที่ทำให้รัฐบาลไทยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ประโยชน์ตามที่ควรจะเป็น
นอกจากนั้น การวิจารณ์ในที่นี้ยังเน้นไปที่การตอบโต้จากประเทศกัมพูชาที่อาจจะรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากปฏิญญาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วนในกัมพูชา อีกทั้ง ยังได้รับการแนะนำจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าการกระทำดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรายงานต่อองค์กรระหว่างประเทศหรือบุคคลภายนอก ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่ายังไม่เป็นประโยชน์กับการพัฒนาในอนาคตของภูมิภาค
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การปฏิเสธปฏิญญาครั้งนี้ได้สร้างความวิตกกังวลในกลุ่มนักวิเคราะห์ต่างประเทศที่เห็นว่าบทบาทการเป็นผู้นำในภูมิภาคอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการดำเนินการในด้านความมั่นคง การกระทำดังกล่าวยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงนโยบายของรัฐบาลไทยในการปกป้องสิทธิ์และการปรับโครงสร้างทางการเมืองที่แสดงให้เห็นถึงการรักษาความเป็นตัวเองและผลประโยชน์แห่งชาติที่มาก่อน
แม้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระดับภูมิภาค แต่ผลกระทบกลับขยายวงกว้างยิ่งขึ้นไปสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการวิจารณ์จากประเทศสำคัญในอาเซียนและกลุ่มประเทศที่มีความสนใจในการตั้งเป้าหมายร่วมกันในการสนับสนุนเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาคที่สำคัญนี้
สรุปข่าวทั้งหมด
ข่าวการยุติการสนับสนุนปฏิญญาสันติภาพ 4 ข้อโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของตนเองแม้อาจจะเกิดการความตึงเครียดทางการเมืองในภูมิภาค การกระทำดังกล่าวยังเป็นที่จับตามองจากนานาชาติซึ่งอาจจะต้องพิจารณาแนวทางการแก้ไขและสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ในภูมิภาคอาเซียนใหม่ในอนาคต
