
เข้มปราบนอมินี — กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแห่งประเทศไทยเดินหน้าแผนตรวจสอบและควบคุมการใช้คนไทยเป็นนอมินีในการถือหุ้นตามมาตรการเข้มงวด โดยเฉพาะใน 11 จังหวัดที่ได้มีการส่งทีมลงพื้นที่ พร้อมเฝ้าระวังธุรกิจ 6 ประเภทที่มีความเสี่ยงสูง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมายและการฟอกเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
ประเด็นสำคัญจาก: เข้มปราบนอมินี ใช้คนไทยถือหุ้น กรมพัฒน์ ถก 11 จังหวัด จับตา 6 ธุรกิจเสี่ยง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ระบุว่าการใช้ชื่อคนไทยในการถือหุ้นแทนต่างชาติ หรือ “นอมินี” นั้น เป็นเรื่องที่มีการเฝ้าระวังมาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเพิ่มความเข้มงวด เนื่องจากพบว่ามีการขยายตัวของโครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมักถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
การประชุมที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นใน 11 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งบริษัทต่างชาติในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว และการบริการที่มีการลงทุนข้ามพรมแดนมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีการเน้นตรวจสอบธุรกิจประเภทเกษตรกรรม พลังงาน และอุตสาหกรรมเบา ที่มักใช้โครงสร้างนอมินีนี้
กรมฯ จึงได้วางแผนการลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างเข้มข้น และมีการจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มบริษัทที่มีลักษณะน่าสงสัย รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
ในหลายกรณีที่ผ่านมาการตรวจสอบพบว่ามีนอมินีใช้ถือครองธุรกิจต่างๆ และก่อให้เกิดปัญหาทางกฎหมายตามมา โดยในช่วงปีที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่องค์กรกฎหมายสามารถดำเนินการตรวจสอบและนำตัวการเข้ามาฟ้องร้องได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการป้องกันปัญหาในอนาคต
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเห็นความสำคัญในการส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนโดยต่างชาติโดยหาวิธีการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ ให้มีความชัดเจนและทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อลดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ประโยชน์
สรุปข่าวทั้งหมด
การดำเนินการอย่างเข้มงวดของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการควบคุมการใช้คนไทยเป็นนอมินี ถือเป็นการตอบสนองต่อปัญหาที่ทวีความซับซ้อนขึ้น การลงพื้นที่และตรวจสอบอย่างวิถีระบบจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับการเรียนรู้และพัฒนาแนวทางในการจัดการปัญหาเพิ่มเติมในอนาคต จากนี้ไป การเฝ้าระวังและตื่นตัวของภาคธุรกิจและประชาชนถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเนื่อง









