ภาพประกอบข่าว: สศช. เผย จีดีพีไตรมาส3ทรุดเหลือ1.2% หวั่น ‘ภาษีทรัมป์’ทุบปีหน้า ดิ่ง1.7%
เครดิตภาพ: mayuree

สศช. หรือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เผยข้อมูลล่าสุดว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ลดลงเหลือเพียง 1.2% นับเป็นการตกต่ำทางเศรษฐกิจที่สร้างความกังวลใจ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่เสถียรในภาคการค้าและอุตสาหกรรมทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีคาดการณ์ว่าในปีต่อๆ ไป GDP อาจลดลงถึง 1.7% หากไม่มีการปรับตัวที่เหมาะสมเกิดขึ้นจากภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจไทย

ประเด็นสำคัญจาก: สศช. เผย จีดีพีไตรมาส3ทรุดเหลือ1.2% หวั่น ‘ภาษีทรัมป์’ทุบปีหน้า ดิ่ง1.7%

ประกาศจาก สศช. ถึงตัวเลข GDP ลดลงเหลือ 1.2% ทำให้หลายฝ่ายต้องเร่งหามาตรการรับมือในภาวะที่เศรษฐกิจไม่มั่นคง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินและการค้าภายในประเทศและระดับโลก อันต่อเนื่องจากมาตรการและนโยบายในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงสร้างแรงกระทบให้ภาคการค้า การลงทุน และการผลิตในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างประเทศไทย

สาเหตุดังกล่าวทำให้ตลาดทุนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความผันผวน ส่งผลให้มาตรการและนโยบายที่เคยถูกวางแผนไว้ต้องถูกทบทวนใหม่เพื่อรักษาเสถียรภาพในระยะยาว อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนโยบายภาครัฐที่จะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและตรงต่อสถานการณ์

รวมถึงยังส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตในภาคบริการและการลงทุนที่ชะลอตัวตามไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้สามารถประคองผลกระทบและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การปรับเปลี่ยนนโยบายภายในประเทศหรือการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสภาพคล่องในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น

จากประกาศตัวเลข GDP ล่าสุด เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายปัจจัยที่ทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สศช. ชี้ว่า การที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายปกป้องภาคการผลิตของตนเอง อาทิเช่น การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบบางประเภท ทำให้อุตสาหกรรมการส่งออกของไทยต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น กระทบต่อกำไรและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในเวทีโลก

นอกจากนี้ การแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงยังเร่งให้ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันในการปรับกลยุทธ์เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป รวมถึงการพัฒนาทักษะและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถขยายตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ที่กำลังเติบโตได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน

สรุปข่าวทั้งหมด

การประกาศของ สศช. ทำให้เห็นถึงความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญ ในนโยบายและสถานการณ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความไม่แน่นอนจากนโยบายต่างประเทศ รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อปรับตัวและคิดค้นนโยบายที่เหมาะสมเพื่อรับมือ ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต ขณะที่สถาบันการเงินและองค์กรสาธารณชนควรผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างความรู้และแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here